การละเล่นของหลวงมีมาแต่กรุงศรีอยุธยาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์หมายถึง การละเล่นที่แสดงในพระราชพิธีต่างๆ ไม่ได้หมายความว่า แสดงหน้าพระที่นั่งในเขตพระราชฐาน ข้างนอกก็แสดงได้ เท่าที่ปรากฏในหนังสือต่างๆ และภาพจิตรกรรมฝาผนัง มีอยู่5 อย่าง คือ ระเบ็ง โมงครุ่ม กุลาตีไม้ แทงวิสัย และกระอั้วแทงควาย ผู้เล่นเป็นชายล้วน มีครั้งเดียวในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2415 โปรดเกล้าฯ ให้ผู้หญิง คือ นางเถ้าแก่เล่นระเบ็งแทนชาย ในงานโสกันต์ พระเจ้าน้องยาเธอและพระเจ้าน้องนางเธอ 5 พระองค์ มีปรากฏใน พระราชนิพนธ์โคลงดั้นเรื่องโสกันต์
การละเล่นของหลวงนี้สันนิษฐานว่าเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี แต่มีปรากฎหลักฐานที่ชัดเจนในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งจะพบว่ามีการแสดงการละเล่นของหลวงประกอบอยู่ในงานพระราชพิธีของหลวงโดยเฉพาะในงานพระราชพิธีสิบสองเดือน โดยการละเล่นของหลวงทั้ง 5 ชุด เป็นการแสดงที่ประเทศไทยรับเอามาจากต่างชาติหรือบรรดาประเทศราชแล้วเรานามาพัฒนาปรับปรุงให้เป็นไปตามแบบแผนของไทยและแสดงอยู่ในพระราชพิธีสาคัญๆ
ระเบง
ระเบงหรือระเบ็ง
สันนิษฐานว่าเป็นการแสดงที่ไทยเรารับเอาอิทธิพลความเชื่อในเรื่องของเทพเจ้ามาจากอินเดีย ต่อมาไทยเราก็พัฒนาปรับปรุงให้เป็นการละเล่นของไทยเอง บางครั้งเรียกการแสดงนี้ว่า “โอละพ่อ” ซึ่งเป็นการเรียกตามบทร้องที่ขึ้นต้นแต่ละวรรค
ลักษณะการแสดงคล้ายกับการแสดงละคร คือมีการดาเนินเรื่องราวโดยตัวละคร 2 ฝ่าย ได้แก่ฝ่ายกษัตริย์ร้อยเอ็ดเจ็ดพระนคร ซึ่งประกอบไปด้วยผู้แสดง 8-10 คน และฝ่ายพระขันธกุมารหรือพระกาล มีผู้แสดง 1 คน เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางไปร่วมงานโสกันต์ที่เขาไกรลาสของบรรดากษัตริย์ร้อยเอ็ดเจ็ดพระนคร โดยได้พบ พระขันธกุมารหรือพระกาลระหว่างการเดินทางซึ่งห้ามมิให้เดินทางระหว่างจนเกิดการประทะกัน ฝ่ายกษัตริย์ร้อยเอ็ดเจ็ดพระนครจึงจะแผลงศรฆ่าพระขันธกุมารหรือพระกาลเสีย แต่ถูกสาปให้สลบเสียก่อน ภายหลังพระขันธกุมารหรือ พระกาลเกิดความสงสารจึงชุบชีวิตให้ฟื้นแล้วปล่อยให้กลับบ้านเมืองของตนไป
เครื่องแต่งกายของกษัตริย์ร้อยเอ็ดเจ็ดพระนครแต่งชุดเข้มขาบ ในมือจะถือคันศรและลูกศรเป็นอาวุธประจากาย ในการปฏิบัติท่าราจะมีการตีลูกศรลงบนคันศรไปด้วย เครื่องแต่งกายพระขันธกุมารหรือพระกาลนั้นแต่งได้ 2 แบบ
ได้แก่เครื่องแต่งกายแบบยืนเครื่องครึ่งท่อน คือ การแต่งกายยืนเครื่องแต่ไม่สวมเสื้อ สวมชฏาขี้รัก ผัดหน้าขาว และแต่งกายแบบเทวดาตลก คือ สวมชุดเข้มขาบ แล้วสวมครุยเทวดาตลกแล้วสวมลอมพอกแทนเทริด(แต่งกายคล้ายกษัตริย์ร้อยเอ็ดเจ็ดพระนคร) เป็นการแสดงที่มุ่งเน้นความสนุกสนาน ในการสอดแทรกมุขตลกเข้าไปในบทเจรจาระหว่างตัวละครทั้งสองฝ่ายและการปฏิบัติท่าทางที่ดูขบขันของตัวละคร แล้วการแสดงระเบงเน้นความพร้อมเพรียงในการปฏิบัติท่าราของตัวละครด้วย
ท่าราหลักในการแสดงมีอยู่ 2 ท่ารา ได้แก่ ท่าตีลูกศรบนคันศร และท่าถือลูกศรแขนถึงระดับเอว ของกษัตริย์ร้อยเอ็ดเจ็ดพระนครที่ระหว่างเดินทางไปเขาไกรลาส ลักษณะท่าราของพระขันธกุมารหรือพระกาลเป็นท่าทางที่มุ่งเน้นความตลกขบขัน ลักษณะท่าราสาคัญของการแสดงระเบง คือ การยกเท้าหนีบน่อง ซึ่งผู้แสดงจะยกเท้าขึ้นด้านข้างแบบยกเท้าในตัวละครตัวพระของละครไทย แต่ในขณะที่ยกนั้นจะปฏิบัติกริยาที่เรียกว่า การหนีบน่อง คือการยกขาท่อนล่างขึ้นให้หนีบติดกับขาท่อนบน แต่ไม่ให้หน้าขานั้นยกสูงจนเกินไป
จารีตในการแสดงของไทยด้วย คือ ผู้แสดงจะเข้าขวา ออกซ้าย และเคลื่อนที่ไปทางซ้ายมือของตนเสมอ ลักษณะท่ารา เช่น การยกเท้า การถือศร การราเพลงเชิดท้ายการแสดงเป็นลักษณะของการราตัวพระ แต่ในปัจจุบัน ผู้แสดงระเบงจะมีทั้งโขนพระ โขนยักษ์ และโขนลิงผสมกัน
การเล่นในสมัยก่อนใช้ฆ้อง ๓ ใบเถาเรียกว่า "ฆ้องระเบง" ตีรับท้ายคำร้องทุก ๆ วรรคโดยตีลูกเสียงสูงมาหาต่ำ จากต่ำมาหาสูง ปรากฏในพระราชนิพนธ์โคลงดั้น เรื่อง "โสกันต์" ต่อมาใช้ปี่พาทย์บรรเลง เริ่มต้นจะบรรเลงเพลง "แทงวิสัย" ซึ่งเป็นจังหวะที่เหมาะกับการเต้นของผู้เล่นเป็นกษัตริย์น้อยใหญ่ ซึ่งจะมีจำนวนเท่าไรก็ได้ให้พอกับเวทีหรือสนามที่เล่น เมื่อเต้นไปสุดเวที ผู้เล่นที่อยู่หัวแถวจะร้องต้นบทว่า "โอละพ่อถวายบังคม" ผู้เล่นทั้งหมดจะร้องรับพร้อมๆ กันว่า "โอละพ่อถวายบังคม" ผู้เล่นทำท่าถวายบังคมไปด้วย เป็นการรำถวายบังคมพระเจ้าแผ่นดิน
ต่อจากรำถวายบังคมแล้ว ผู้เล่นจะแปรแถวอย่างเป็นระเบียบ แล้วผู้เล่นก็ร้องบทต่อไปลุกขึ้นเต้น ปากก็ร้องบทไปเรื่อย ๆ เมื่อยกขาขวาจะทำท่าเอาลูกธนูตีลงไปบนคันธนู วางขาขวายกขาซ้าย เหยียดมือขวาออกไปข้างตัวจนสุดแขนเป็นท่าง้างธนู จนกระทั่งมาพบพระกาล
โมงครุ่ม
โมงครุ่ม
สันนิษฐานว่าเป็นการแสดงที่ไทยเราได้รับมาจากอินเดียตอนใต้และน่าจะเป็นการละเล่นของหลวงที่มีกาเนิดมาก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากลักษณะของการแสดงนั้นไม่ซับซ้อนและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยกรุง ศรีอยุธยาก็จะมีปรากฎชื่อการแสดงโม่งครุ่ม(ม่งครุ่ม) ก่อนการแสดงชุดอื่นๆ คาว่า โม่งครุ่มนี้ อาจมาจากเสียงของเครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบในการแสดง ได้แก่ ฆ้องโหม่ง และกลองโหม่งครุ่ม “โมง” คือ เสียงของฆ้องโหม่ง ส่วน “ครุ่ม” คือ เสียงของกลองโมงครุ่ม บางครั้งเรียกการแสดงประเภทนี้ว่า“อิรัดถัดทา” ซึ่งเป็นการเรียกตามเสียงร้องของนักแสดง
เครื่องแต่งกายผู้แสดงจะสวมชุดเข้มขาบ ซึ่งประกอบด้วยเสื้อเข้มขาบ สนับเพลา ผ้าสารดคาดเอวและสวมเทริด ในมือผู้แสดงจะถือไม้กาพต(ลักษณะเหมือนอย่างไม้กระบองของโขนยักษ์แต่ไม่ขวั้นเกลียว) ไว้สาหรับตีกลอง
วิธีการแสดงโมงครุ่ม แบ่งผู้แสดงออกเป็นกลุ่มๆ ละ 4 คน จะมีกี่กลุ่มก็ได้ โดยที่ในแต่ละกลุ่มจะมีกลองโมงครุ่มวางอยู่กลางวงๆ ละ 1 ลูก ผู้แสดงทั้ง 4 คน ก็จะยืนอยู่รอบกลองแล้วปฏิบัติท่าราต่างๆสลับไปกับการตีกลอง กลองโมงครุ่มที่ใช้สาหรับการแสดงโมงครุ่มนี้จะมีลักษณะคล้ายกับกลองทัด แต่มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย เป็นกลองที่ขึงหนังสองหน้าไม่ติดข้าวสุกถ่วงหน้า กลองแต่ละใบเขียนลวดลายและระบายสีอย่างสวยงาม ลักษณะการปฏิบัติท่าราในการแสดงก็จะปฏิบัติเป็นลักษณะของกลุ่มท่ารา ซึ่งทุกท่าราจะปฏิบัติตามขั้นตอนเหมือนกัน คือ ลาดับที่ 1 ผู้แสดงยืนตรง ลาดับที่ 2 ปฏิบัติท่าราทีละท่า ที่สันนิษฐานว่าในอดีตคงจะมีหลายท่ารา แต่ในปัจจุบันเหลือเพียง 5 ท่าราเท่านั้นคือ ท่าเทพพนม ท่าบัวตูม ท่าบัวบาน ท่าลมพัดและท่ามังกรฟาดหาง ลาดับที่ 3 ยักตัวในจังหวะ“ถัดท่าถัด” ลาดับท่าที่ 4 ผู้แสดงยืนตรง ลาดับที่ 5 ผู้แสดงเอี้ยวตัวตีกลอง และลาดับสุดท้ายจบลงด้วยผู้แสดงยืนตรง โมงครุ่มใช้พื้นฐานท่าราของตัวโขนยักษ์มากกว่าตัวละครอื่น ซึ่งจะเห็นได้จากลักษณะการใช้เท้า คือการยกเท้าและย่อเต็มเหลี่ยม ซึ่งเป็นลักษณะการใช้เท้าหลักของการแสดงโมงครุ่ม การแสดงโมงครุ่มนี้เน้นที่ความสนุกสนานของการปฏิบัติท่าราของ ผู้แสดงประกอบการร้องประกอบจังหวะว่า “ถัดท่าถัด ถัดท่าถัด ถัดท่าถัด ถัดท่าถัด” ผู้แสดงจะยักตัวไปตามจังหวะอย่างสนุกสนาน เมื่อผู้ชมได้ชมก็จะเกิดความสนุกสนานร่วมด้วย
เป็นการละเล่นมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาการแต่งตัวของผู้เล่นเหมือนกับระเบ็ง มือถือไม้กำพด คือ กระบองสั้นแต่มีด้ามยาว มีกลองประกอบการเล่น กลองใหญ่เหมือนกลองทัดหน้ากว้างประมาณ ๕๕ เซนติเมตร ผู้เล่นแบ่งออกเป็นกลุ่ม จะมีกี่กลุ่มก็ได้ กลุ่มละ ๔ คน กลุ่มหนึ่งมีกลองโมงครุ่ม ๑ ใบ อยู่ตรงกลางด้านหน้ามีผู้เล่น ๑ คน มายืนตรงหน้าคอยตีโหม่งบอกท่าทางให้ผู้เล่นทำตาม
เมื่อผู้ตีโหม่งให้สัญญาณ ผู้เล่นเข้าประจำที่แล้ว คนตีโหม่งจะร้อง "อีหลัดถัดทา" และตีโหม่ง ๒ ที แล้วบอกท่าต่าง ๆ ผู้เล่นจะยักเอว ซ้ายที ขวาที จะร้อง "ถัดถัดท่า ถัดท่าท่าถัด" จนกว่าคนตีโหม่งจะให้สัญญาณเปลี่ยนท่าผู้ตีโหม่งจะรัวสัญญาณให้ผู้เล่นหยุดยืนอยู่กับที่ด้วยวิธีร้องบอกวา "โมงครุ่ม" ตีโหม่ง ๒ ที (มง ๆ) ผู้เล่นจะใช้ไม้กำพดตีหนังกลอง ซ้ายที ขวาที (ดังครุ่ม ๆ ) ผู้ตีโหม่งจะรัวสัญญาณให้ผู้เล่นหยุด แล้วบอกท่าใหม่ ท่าที่เล่นมีมากมายหลายท่า เช่น ท่าบัวตูม ท่าบัวบาน ท่าลมพัด ท่ามังกรฟาดหาง พระจันทร์ทรงกลด เมขลาล่อแก้ว รามสูรขว้างขวาน ฯลฯ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัตติวงศ์ทรงพระนิพนธ์ท่ารำโบราณไว้ในสาส์นสมเด็จ การเล่นแบบนี้บางท่านเรียก "อีหลัดถัดทา" ที่เรียกว่าโมงครุ่ม สันนิษฐานว่าคงจะเรียกชื่อตามเสียงโหม่งและเสียงกลองที่ดัง
ประเลง
เป็นการละเล่นของหลวงที่เก่าแก่มาก โดยเฉพาะใช้เป็นรำเบิกโรงผู้แสดงแต่งตัวเป็นเทวดาสวมหน้าศีรษะโล้น (ไม่มียอดแหลม) สองมือถือหางนกยูง มาร่ายรำตามขบวนเพลงต่างๆ รำประเลงนี้ก็เป็นวิธีหนึ่งที่เรียกว่าปัดรังควานขับไล่สิ่งอปมงคลให้หายไป นำสิริมงคลมาสู่โรงและผู้แสดง
กุลาตีไม้
สันนิษฐานว่าไทยรับมาจากอินเดียตอนใต้ คาว่า “กุลา” เป็นชื่อเรียกพวกแขกที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งแต่เดิมสันนิษฐานว่าการละเล่นกุลาตีไม้นี้มาจากการละเล่น “ทัณฑรส” หรือระบาไม้ของอินเดียใต้ แต่เดิมบทร้องกุลาตีไม้นี้น่าจะเป็นภาษาทมิฬ แต่ต่อมาไทยเรานามาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เป็นภาษาไทย โดยในเนื้อความในบทร้องนั้นเป็นการกล่าวสรรเสริญพระมหากษัตริย์ของไทยที่ทรงมีพระบรมราชานุภาพและศักดานุภาพมาก สามารถปกครองไพร่ฟ้าให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขได้ ไม้ที่ใช้ตีในกุลาตีไม้ เรียกว่า “ไม้กาพต”
วิธีการแสดง ผู้แสดงชาย 8-10 คน จับกลุ่มเป็นวงกลมแล้วเคลื่อนที่ไปพร้อมๆกับการร้องเพลงและตีไม้กาพตในมือประกอบจังหวะไปด้วย การตีไม้ประกอบการร้องเพลงในกุลาตีไม้ต้องตีได้ 16 ครั้ง ต่อการร้องเพลง 1 รอบ จึงจะตีไม้ได้อย่างถูกต้อง และร้องเพลง 2 รอบต่อการปฏิบัติท่ารา 1ท่า ปัจจุบันมี 6 ท่า ได้แก่ ท่านั่งคุกเข่าตบมือ ท่านั่งคุกเข่าตีไม้ ท่าตีไม้เดินเป็นวงกลม ท่ากางแขนตีไม้ ท่าตีไม้ระหว่างคู่ และท่าตีไม้สลับบน ล่างระหว่างคู่ เป็นการเรียงจากระดับต่าไปหาสูง เริ่มเคลื่อนวงไปทางซ้ายมือของผู้แสดงก่อนเสมอแล้วเคลื่อนมาทางขวามือของผู้แสดง การตีไม้นี้ไม้ที่กระทบกันจะต้องไขว้เป็นรูปกากบาทเสมอ
ลักษณะการใช้เท้าที่สาคัญในการแสดงท่ากุลาตีไม้ คือ การเดินตีนเตี้ย (การเดินย่อเข่าให้มากที่สุด) สลับยืดยุบในตอนเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนวง การเดินกุลาตีไม้นี้จะมีการก้าวเท้าไขว้ไปด้านหน้าและก้าวเท้าไปด้านข้างสลับกัน การก้าวเท้าจะเริ่มด้วยเท้าซ้ายก่อนเสมอ พื้นฐานของท่าราและแนวทางในการนับจังหวะตามโขนลิง ไม่ว่าจะเป็นการเดินตีนเตี้ย หรือการนับจังหวะด้วยเท้าซ้ายเป็นหลัก ซึ่งเป็นลักษณะของโขนลิง ดังนั้นผู้แสดงกุลาตีไม้จึงควรเป็นผู้มีพื้นฐานการฝึกหัดโขนลิง ซึ่งจะมาสามารถปฏิบัติท่าราได้ดี รวมทั้งลักษณะของการแสดงกุลาตีไม้เป็นการแสดงที่มุ่งเน้นความสนุกสนานของผู้แสดงในการร้องเพลง และกระทุ้งเสียงให้ตรงตามจังหวะรวมทั้งการใช้หน้า (ลอยหน้า) ให้ดูตลกขบขัน
เครื่องแต่งกายคือชุดเข้มขาบและสวมเทริด มือถือไม้กาพตทั้งสองข้างสาหรับเคาะจังหวะ
แทงวิสัย
รือ แทงปิไสย สันนิษฐานว่ารับมาจากมลายู เป็นการแสดงราอาวุธหรือประอาวุธของตัวละคร 2 ตัว คาว่า “วิไสย”หรือ “ปิไสย” ตามภาษามลายูหมายถึงโล่ ซึ่งในอดีตโล่ก็เป็นอาวุธที่ใช้ประกอบการแสดงแทงวิไสย สันนิษฐานว่าเริ่มมีการแสดงในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายหลังจากที่มีการแสดง โมงครุ่ม ระเบง และกุลาตีไม้แล้ว และน่าจะเป็นการแสดงที่ประเทศราชนาเข้ามาถวายหรือนาเข้ามาแสดงร่วมในงานพระราชพิธีของหลวง
ลักษณะการแสดง เป็นการประอาวุธของตัวละครสองฝ่าย อาวุธที่ใช้ก็จะใช้ทั้งอาวุธสั้นและอาวุธยาว เช่น หอก ดาบ โล่ ง้าว ทวน เป็นต้น ผู้แสดงจะมี 2 คน แต่งกายแบบเซียวกาง (ทวารบาลของจีน) ออกมาต่อสู้ประอาวุธกันโดยเอาปลายอาวุธแตะกันข้างบนบ้างข้างล่างบ้าง แล้วเต้นวนไปมาลักษณะเหมือนการรบในการแสดงงิ้วของจีนแต่ช้ากว่า การแสดงแทงวิสัยในอดีตมีการบรรเลงดนตรีประกอบด้วย คือเพลงกลม แต่ปัจจุบันไม่มีปรากฎการแสดงแทง วิไสย
โดยอนุมานว่า ลักษณะของท่าราในการแสดงแทงวิไสยนี้น่าจะมีลักษณะการใช้ท่าราอาวุธยาวซึ่งเป็นแม่ท่าในการราอาวุธของไทย มีอยู่5 ท่าราหลัก ได้แก่ท่านาคเกี้ยว ท่าหงส์สองคอ ท่าปลอกช้าง ท่าชิงคลอง(1,2) และท่า ผ่าหมาก ทั้ง 5 ท่ารานี้เปรียบเสมือนแม่ท่าในการราอาวุธของไทยทั้งสิ้น เนื่องจากตัวละครอื่นที่ใช้การราอาวุธก็จะดัดแปลงเพิ่มเติมจากแม่ท่านี้ นอกจากนี้ในท่ารากระบวนไม้รบจีน ในการแสดงละครพันทางตอนสมิงพระรามรบกามนี คงเป็นท่าราในการแสดงแทงวิไสยได้เช่นกัน เนื่องจากท่ารากระบวนรบไม้จีนในสมิงพระรามรบกามนีนั้นเป็นท่าราอาวุธยาวที่ดัดแปลงมาจากแม่ท่าทั้ง 5 ท่า แล้วปรับปรุงให้มีลักษณะเป็นของจีน เช่น การใช้มือจีน การยกเท้าแบบจีน เป็นต้น และในการแสดงแทงวิไสยมีลักษณะเป็นการผสมผสานศิลปะไทยกับจีนเข้าไว้ด้วยกันคือ การแต่งกาย ดังนั้นลักษณะท่าราในไม้รบจีนก็น่าจะสามารถใช้ในการแสดงแทงวิไสยได
กระอั้วแทงควาย
สันนิษฐานว่าคงจะมาจากการละเล่นของพวกทวายหรือมอญ เนื่องจากคาว่า “กระอั้ว” เป็นภาษาทวาย ซึ่งแต่เดิมกระอั้วแทงควายนี้น่าจะเป็นการละเล่นที่บรรดาประเทศราชที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของกษัตริย์ไทยส่งเข้ามาร่วมในงานพระราชพิธีเช่นเดียวกับการแสดงชุดอื่นๆ
ลักษณะการแสดงคล้ายกับการแสดงละคร เนื้อเรื่องกล่าวถึงสามีภรรยาคู่หนึ่ง (นางกระอั้วและสามี) ออกตามล่าควาย เพื่อจะนาตับควายมากิน การแสดงมุ่งเพื่อความตลกขบขันที่วิ่งไล่แทงควายอย่างสนุกสนาน ผู้แสดงกระอั้วแทงควายนั้น ใช้ผู้ชายแสดง เป็นจานวน 3-4 คน แสดงเป็นนางกระอั้ว 1 คน สามีนางกระอั้ว 1 คน แสดงเป็นควาย 1 หรือ 2 คน ก็ได้ ปัจจุบันไม่มีการแสดงแล้ว ทั้งนี้ยังมีการแสดงของชาวบ้านซึ่งมีลักษณะการแสดงคล้ายกับการแสดงกระอั้วแทงควาย คือ การแสดงกระตั้วแทงเสือ หรือบ้องตันแทงเสือ ทาให้สามารถพบเห็นรูปแบบการแสดงกระอั้วแทงควายจากการแสดงประเภทนี้ พอจะอนุมานถึงลาดับขั้นตอนในการแสดงดังนี้ เริ่มต้นด้วยนางกระอั้วและสามีเดินตามหาควายจนพบ ขั้นที่สองนางกระอั้วและเข้าต่อสู้กับควาย(ไล่แทงควาย) และขั้นตอนสุดท้ายคือ นางกระอั้วและสามีวิ่งไล่ตามควายไปเรื่อยๆซึ่งลักษณะการแสดงทั้ง 3 ขั้นตอนนี้เป็นการแสดงที่มุ่งเน้นความตลกขบขันหรืออากัปกริยาท่าทางของตัวละครที่แสดงออกอย่างตลกขบขัน เช่น ท่าตกใจของนางกระอั้วแทงควาย ท่าไล่ตามควายหรือท่านางกระอั้วถูกควายไล่ขวิดจนผ้าห่มหลุด เป็นต้น ดังนั้นท่าทางต่างๆ จึงเป็นท่าที่อิสระไม่ตายตัว และที่สาคัญคือจะต้องมีท่าแทงควาย ซึ่งจะแทงแบบใด ท่าใดก็ได้ไม่จากัดขอให้เป็นท่าที่ดูตลกขบขันเท่านั้น
เครื่องแต่งกายสมจริงคือนางกระอั้วและสามีจะแต่งกายอย่างชาวบ้าน ส่วนควายจะสวมชุดควาย เป็นการแสดงที่ไม่มีระเบียบแบบแผนที่ชัดเจนแน่นอน เพียงแต่มุ่งเน้นความสนุกสนานเท่านั้น คล้ายการแสดงจาอวด