วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ละครรำ

   4.1. ละครรำ   



ละครรำเป็นละครประเภทที่ใช้ศิลปะในการร่ายรำดำเนินเรื่อง มีการขับร้องและเจรจา เป็นกลอนบทละคร ซึ่งละครรำที่เป็นแบบฉบับดั้งเดิมของไทยนั้น ต่อมาได้พัฒนาเป็นต้นกำเนิดของละครรำในสมัยอยุธยา
ละครรำสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ

1. ละครรำแบบดั้งเดิม (แบบโบราณ) ประกอบไปด้วยละครอีกหลายชนิด ดังต่อไปนี้

1.1. ละครชาตรี ก่อนเริ่มแสดงต้องทำพิธีไหว้ครู ปี่พาทย์โหมโรงโดยใช้กลองตุ๊กตีให้สัญญาณว่าบริเวณนี้จะมีการแสดงละคร ตัวละครมี 3 ตัว คือ ตัวพระ ตัวนาง และตัวตลก ผู้แสดงเป็นชาย การแสดงดำเนินเรื่องรวบรัดมีผู้บอกบท ผู้รำจะร้องตาม มีลูกคู่ร้องรับวรรคท้ายซ้ำ ๆ กัน 3 ครั้ง เมื่อร้องจบ จะมีบทเจรจาต่อ
ในการแสดงละครชาตรีเพื่อบูชาครูจะเริ่มการแสดงด้วยการรำซัดไหว้ครู ผู้แสดงร้องเองเล่นเอง และจะเล่นเรื่องพระสุธนนางมโนห์รา ซึ่งปัจจุบันยังคงมีการแสดงเป็นประจำอยู่ ณ บริเวณวัดหรือศาลที่ผู้คนเคารพศรัทธา แต่มักจะเป็นการแสดงเพื่อแก้บน ตามที่ผู้ซึ่งเคยบนบานศาลกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนเอาไว้ เป็นผู้ติดต่อหรือว่าจ้างให้มาแสดง

11.2. ละครนอก หมายถึง ละครที่คนธรรมดาสามัญเล่นกันนอกพระราชฐานผู้แสดงเป็นชายล้วน การดำเนินเรื่องรวดเร็ว มีบทตลกแทรกไว้ตลอดเวลาโดยไม่ยึดขนบธรรมเนียมประเพณี การแต่งกาย แต่งตามแบบที่เรียกว่า "แต่งองค์ทรงเครื่อง" เรื่องที่นิยมแสดง เช่น เรื่องสังข์ทอง พระอภัยมณี คาวี ไชยเชษฐ์ มณีพิไชย สุวรรณหงส์ แก้วหน้าม้า สังข์ศิลป์ไชย เป็นต้น

1.3. ละครใน นับว่าเป็นต้นแบบของศิลปะการร่ายรำของไทย เพราะมีสุนทรียะทางนาฏกรรมแสดงถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยในราชสำนัก ท่ารำประณีตงดงามมีลักษณะเฉพาะ เช่น ท่ารำของตัวพระ ศิลปะการรำยกทัพ รำอาวุธ ศิลปะการชมต่าง ๆ เช่น ชมป่า ชมราชรถ ชมม้า ชมช้าง ผู้แสดงคัดเลือกจากผู้ที่มีรูปร่างหน้าตางดงาม ท่วงทีสง่า มีฝีมือในเชิงรำ นิยมแสดงเพียง 3 เรื่อง คือ รามเกียรติ์อุณรุท อิเหนา ดนตรีและเพลงขับร้องประกอบท่ารำจะมีท่วงทำนองตามลักษณะของการแสดง เช่น เพลงร่าย เพลงช้าปี่ และเพลงโอ้ปี่ เป็นต้น ผู้แสดงไม่ต้องร้องเอง เพราะมีต้นเสียงร้องแทน ไม่ว่าจะเป็นบทดำเนินเรื่องหรือเจรจา

1.4. โขน การแสดงโขน เป็นการแสดงท่ารำ เต้น มีดนตรีประกอบการแสดง มีบทพากย์และเจรจา ตัวละครประกอบด้วยยักษ์ ลิง มนุษย์ และเทวดา ผู้แสดงสวมหัวโขนไม่ร้องและเจรจาเอง แต่ปัจจุบันผู้แสดงเป็นมนุษย์เทวดาจะไม่สวมหัวโขน
การแต่งกาย แต่งแบบยืนเครื่องเหมือนละครในตามลักษณะตัวละคร ได้แก่ พระนาง ยักษ์ ลิง และตัวประกอบ ศรีษะโขน ได้แก่ ศีรษะเทพเจ้า ศีรษะมนุษย์ ศีรษะยักษ์ ศีรษะลิง และ ศีรษะสัตว์ต่าง ๆ
โขนแบ่งย่อยออกไปอีก 5 ชนิด ขึ้นอยู่กับลีลาในการแสดงที่แตกต่างกัน ได้แก่

1. โขนกลางแปลง แสดงบนพื้นสนามไม่มีเวที มีผู้
บรรยายคอยพากย์และเจรจา ไม่มีการร้อง ดนตรีใช้วงปี่พาทย์มี 2 วง ผลัดกันบรรเลง นิยมแสดงเรื่องรามเกียรติ์

2. โขนนั่งราว คือการยกโขนกลางแปลงมาไว้บนเวทีที่มีการยกพื้น มีฉากประกอบมีนั่งร้านเล็ก ๆ อยู่ซ้ายขวาของเวที สำหรับตั้งวงดนตรี 2 วง

3. โขนโรงใน คือการแสดงโขนปนละครใน มีบทพาทย์ เจรจา มีฉากด้านหลังและเตียงสมมติเป็นที่ประทับ วงดนตรีใช้เครื่องใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยปี่ใน ระนาดเอก ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ตะโพน กลองทัด ฉิ่ง ฉาบ โหม่ง

4. โขนหน้าจอ เป็นการแสดงหน้า "จอ" สำหรับเชิดหนังใหญ่ เวลาที่ไม่มีการเชิดหนังก็ทำยกพื้นขึ้นสำหรับแสดงโขน ต่อมาฉากที่เคยเป็นจอหนังใหญ่ที่ทำด้วยผ้าขาวก็ถูกเขียนขึ้นเป็นภาพปราสาทราชวังทั้งผืน ทำเป็นทางเข้า - ออก สำหรับตัวโขนไว้ 2 ข้าง มีเตียงตั้ง 2 ข้าง ทั้งซ้ายขวา โดยให้มนุษย์อยู่ทางซ้าย และยักษ์อยู่ทางขวา

5. โขนฉาก เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 คล้ายกับละครดึกดำบรรพ์ ผู้ดำริทำโขนฉาก คือ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ วิธีเล่นและวิธีแสดงแบ่งเป็นฉาก เป็นตอน เช่นเดียวกับละครดึกดำบรรพ์ แต่วิธีแสดงเป็นแบบโขนโรงใน มีบทร้อง มีกระบวนรำ ลีลาท่าเต้น มีการบรรเลงปี่พาทย์ตามแบบฉบับละครใน

2. ละครที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ ประกอบไปด้วยละครอีกหลายชนิด ดังต่อไปนี้

2.1. ละครดึกดำบรรพ์ เป็นละครที่ปรับปรุงขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้แบบอย่างมาจากละครของชาวตะวันตก แต่ยึดแนวละครในเป็นหลักใช้ชื่อว่า "ละครดึกดำบรรพ์" ตามชื่อโรงละครของพระยาเทเวศน์วงศ์วิวัฒน์ (ม.ร.ว. หลาน กุญชร ณ อยุธยา)
การแสดง ผู้แสดงต้องร้องเอง รำเอง การคัดเลือกผู้แสดงจึงต้องคัดเฉพาะผู้ที่มีความสามารถทั้งร้อง ทั้งรำ การแต่งกาย แต่งแบบยืนเครื่องพระนาง มีฉากและแสงสีประอบตามบรรยากาศของเรื่อง ดนตรีประกอบใช้วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์

2.2. ละครพันทาง เป็นละครที่ปรับปรุงใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5 เนื่องเรื่องนำมาจากพงศาวดารของชาติต่าง ๆ จัดแสดงตามแบบแผนละครนอก ดำเนินเรื่องรวดเร็ว มีบทตลกแทรก ไม่เคร่งครัดขนบธรรมเนียมประเพณีมากนัก การแต่งกายแต่งตามลักษณะเชื้อชาติ ดนตรีและการขับร้องเป็นเพลงที่มีสำเนียงตามเจ้าของ (หรือสำเนียงบอกภาษา) พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรพระนราธิปประพันธ์พงศ์ทรงเป็นผู้เผยแพร่ละครพันทางตามแบบแผนที่เจ้าพระยามหินทร์ศักดิ์ธำรงได้ทรงประดิษฐ์ไว้

2.3. ละครเสภา ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้นำเอาผู้รำมาประกอบบทร้องและบทขับเสภากลายเป็นเสภารำ และเสภาตลก มีเครื่องประกอบจังหวะพิเศษคือ กรับเสภา ดนตรีประกอบใช้วงปี่พาทย์เช่นเดียวกับละครนอก การขับเสภามีสำเนียงบอกภาษาอยู่ด้วย เช่น เสภาลาว เรื่องที่แสดงคือ ขุนช้างขุนแผน ไกรทอง เป็นต้น

2.4. ละครหลวงวิจิตรวาทการ เป็นละครที่นำเนื้อเรื่องมาจากประวัติศาสตร์ตอนใดตอนหนึ่งมาสร้าง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อปลุกใจให้ประชาชนรักชาติมีความสามัคคี ดำเนินเรื่องด้วยวิธีรำ พูด ดนตรีประกอบมีทั้งดนตรีไทยและสากล การแต่งกาย แต่งยืนเครื่องแบบละครและแต่งแบบสากล ผู้แสดงเป็นชายจริงหญิงแท้ ฉากสุดท้ายผู้แสดงทุกคนต้องปรากฏตัวบนเวที

4.2. ละครร้อง
ละครร้อง เป็นละครที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ทรงดัดแปลงมาจากการแสดงของชาวตะวันตกมีการเปลี่ยนฉากตามท้องเรื่อง ใช้ท่ารำและดนตรีประกอบดัดแปลงเป็นกิริยาท่าทางอย่างสามัญชนแต่ไม่รำ ใช้เพลงร้องที่แต่งขึ้นใหม่ ตัวแสดงร้องเองบ้างและมีบทเจรจาสลับ ผู้แสดงเป็นผู้หญิงทั้งหมด ตัวตลกเป็นชาย การแต่งกายแต่งแบบสามัญชน ยึดหลักแนวสมจริง เรื่องที่นิยมแสดง ได้แก่ ตุ๊กตายอดรัก ขวดแก้วเจียระไนและสาวเครือฟ้า เป็นต้น

ละครร้องสามารถแบ่งออกได้หลายชนิด ดังนี้

1. ละครร้องล้วน ๆ เป็นละครที่ดำเนินเรื่องด้วยการร้องไม่มีบทพูดแทรก ตัวละครใช้ท่าทีแบบสามัญชน แต่งกายแบบละครพันทางตามเชื้อชาติ เรื่องที่นิยมแสดง เช่น เรื่องสาวิตรี

2. ละครร้องสลับพูด มีกำเนิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 การดำเนินเรื่องยึดถือการร้องเป็นส่วนใหญ่ มีพูดสลับบ้าง ประชาชนรู้จักกันในนามว่า "ละครกรมพระนราธิป" หรือ "ละครปรีดาลัย" เพราะกรมพระนราธิปฯ เป็นผู้ให้กำเนิด และมีการแสดงเป็นประจำที่โรงละครปรีดาลัย

3. ละครสังคีต เป็นละครที่มีวิธีดำเนินเรื่องด้วยการพูดและการร้อง ซึ่งมีความสำคัญเท่าเทียมกันจะตัดส่วนใดส่วนหนึ่งออกไม่ได้ เนื้อเรื่องสนุกสนาน มีการขับร้องที่ไพเราะ เป็นการแสดงหมู่ที่งดงาม เครื่องแต่งกายแต่งตามบทบาทและฐานะของตัวละคร มีฉากงดงามประกอบเรื่อง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น