ชักนาคดึกดำบรรพ์
ชักนาคดึกดำบรรพ์" ภาพศิลาจำหลักระเบียงปราสาทนครวัด
การเล่นดึกดำบรรพ์
การเล่นดึกดำบรรพ์หรือชักนาคดึกดำบรรพ์ คือการเล่นแสดงตำนานการกวนน้ำอมฤตหรือการกวนเกษียรสมุทร ปรากฏหลักฐานในกฎมนเทียรบาลตอนว่าด้วยพระราชพิธีอินทราภิเษก มีการตั้งเขาพระสุเมรุประกอบด้วยสัตตบริภัณฑ์ ราชวัตรฉัตรธง มีรูปพระอินทร์อยู่กลางพระสุเมรุ ซึ่งประกอบด้วย
“...รูปพระนารายน์บันทมสิน ในตีนพระสุเมรุ์ นาค ๗ ศีศะเกี้ยวพระสุเมรุ์ นอกสนาม อสูรยืนนอกกำแพง โรงรำระทาดอกไม้ มหาดไทบำเรอห์สนองพระโอษฐ ดำรวจเลกเปนรูปอสูร ๑๐๐ มหาดเลกเปนเทพดา ๑๐๐ เปนพาลี สุครีพ มหาชมภูแลบริวารพานร ๑๐๓ ชักนาคดึกดำบรร อสูรชักหัว เทพดาชักหาง พานรอยู่ปลายหาง”
การเล่นดึกดำบรรพ์หรือชักนาคดึกดำบรรพ์ คือการเล่นแสดงตำนานการกวนน้ำอมฤตหรือการกวนเกษียรสมุทร ปรากฏหลักฐานในกฎมนเทียรบาลตอนว่าด้วยพระราชพิธีอินทราภิเษก มีการตั้งเขาพระสุเมรุประกอบด้วยสัตตบริภัณฑ์ ราชวัตรฉัตรธง มีรูปพระอินทร์อยู่กลางพระสุเมรุ ซึ่งประกอบด้วย
“...รูปพระนารายน์บันทมสิน ในตีนพระสุเมรุ์ นาค ๗ ศีศะเกี้ยวพระสุเมรุ์ นอกสนาม อสูรยืนนอกกำแพง โรงรำระทาดอกไม้ มหาดไทบำเรอห์สนองพระโอษฐ ดำรวจเลกเปนรูปอสูร ๑๐๐ มหาดเลกเปนเทพดา ๑๐๐ เปนพาลี สุครีพ มหาชมภูแลบริวารพานร ๑๐๓ ชักนาคดึกดำบรร อสูรชักหัว เทพดาชักหาง พานรอยู่ปลายหาง”
ตำนานการกวนเกษียรสมุทรมีที่มาจาก “กูรมาวตาร” อันเป็นปางหนึ่งในนารายณ์ ๑๐ ปางของศาสนาพราหมณ์ไวษณพนิกาย แสดงเรื่องราวเมื่อพระนารายณ์อวตารเป็นเต่า รองเขามันทระในพิธีกวนน้ำอมฤตหรือกวนเกษียรสมุทร ในพิธีดังกล่าวใช้เขามันทระเป็นแกนหรือไม้กวน ใช้พญาเศษนาคแทนเชือกคล้องวนรอบเขามันทระ พระนารายณ์อวตารเป็นเต่าหนุนอยู่ใต้เขา เหล่าอสูรชักนาคอยู่ทางด้านหัวและเหล่าเทพยดาชักด้านหางนาค จนในที่สุดเกษียรสมุทร (แปลว่าทะเลน้ำนม) กลายเป็นน้ำอมฤต ผู้ที่ได้ดื่มกลายเป็นอมตะ (ไม่ตาย) ผลพลอยได้จากการกวนน้ำอมฤตดังกล่าวทำให้เกิดสิ่งสำคัญหลายอย่าง เช่น พระลักษมีเทวีแห่งโชคลาภผู้เป็นชายาของพระนารายณ์ และนางอัปสรทั้งหลาย ฯลฯ
ดึกดำบรรพ์สันนิษฐานว่ามาจากศัพท์ภาษาเขมรว่า ทึกตฺบาร (ทึก แปลว่า น้ำ ตฺบาร แปลว่า ปั่น) แปลว่า การปั่นน้ำหรือกวนน้ำ เรื่องการชักนาคดึกดำบรรพ์ปรากฏในภาพศิลาจำหลักที่ระเบียงด้านตะวันออกปราสาทนครวัดประเทศกัมพูชา ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ เมื่อราวพุทธศักราช ๑๖๕๐ ปราสาทนครวัดนี้สร้างขึ้นตามคติของศาสนาพราหมณ์ไวษณพนิกาย ระเบียงโดยรอบจำหลักเรื่องนารายณ์อวตาร เช่น รามาวตาร กฤษณาวตาร และจำหลักพระประวัติของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ไว้บริเวณระเบียงปราสาทด้วย นครรัฐต่าง ๆ ก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา เช่น อโยธยา ละโว้ สุพรรณภูมิและสุโขทัย เหล่านี้ล้วนมีการสัมพันธ์ติดต่อกับอาณาจักรเขมรโบราณ และคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า นครรัฐเหล่านี้ต่างได้รับอิทธิพลอารยธรรมอันรุ่งเรืองของเขมรโบราณไว้ทุกแคว้น
ดึกดำบรรพ์สันนิษฐานว่ามาจากศัพท์ภาษาเขมรว่า ทึกตฺบาร (ทึก แปลว่า น้ำ ตฺบาร แปลว่า ปั่น) แปลว่า การปั่นน้ำหรือกวนน้ำ เรื่องการชักนาคดึกดำบรรพ์ปรากฏในภาพศิลาจำหลักที่ระเบียงด้านตะวันออกปราสาทนครวัดประเทศกัมพูชา ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ เมื่อราวพุทธศักราช ๑๖๕๐ ปราสาทนครวัดนี้สร้างขึ้นตามคติของศาสนาพราหมณ์ไวษณพนิกาย ระเบียงโดยรอบจำหลักเรื่องนารายณ์อวตาร เช่น รามาวตาร กฤษณาวตาร และจำหลักพระประวัติของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ไว้บริเวณระเบียงปราสาทด้วย นครรัฐต่าง ๆ ก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา เช่น อโยธยา ละโว้ สุพรรณภูมิและสุโขทัย เหล่านี้ล้วนมีการสัมพันธ์ติดต่อกับอาณาจักรเขมรโบราณ และคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า นครรัฐเหล่านี้ต่างได้รับอิทธิพลอารยธรรมอันรุ่งเรืองของเขมรโบราณไว้ทุกแคว้น
การเล่นดึกดำบรรพ์ที่ปรากฏในกฎมนเทียรบาล ซึ่งตราขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พุทธศักราช ๑๙๙๑ – ๒๐๓๑) อาจมีที่มาจากภาพจำหลักเรื่องตำนานการกวนน้ำอมฤตที่ระเบียงปราสาทนครวัด เพราะในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) พระราชบิดาของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงกรีธาทัพไปตีได้เมืองยโศธรปุระ หรือเมืองพระนครของราชอาณาจักรกัมพูชาได้เมื่อพุทธศักราช ๑๙๗๔
อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่าการเล่นดึกดำบรรพ์ที่ระบุในพระราชพิธีอินทราภิเษกมีพาลี สุครีพ และท้าวมหาชมพูและบริวารวานร ซึ่งอยู่ในเรื่องรามเกียรติ์ เป็นส่วนหนึ่งของการชักนาค บุคคลเหล่านี้ไม่ปรากฏในภาพจำหลักศิลาที่ระเบียงปราสาทนครวัด เขาที่ตั้งเป็นแกนก็เป็นเขาพระสุเมรุไม่ใช่เขามันทระ แสดงว่าเมื่อไทยรับเอาคติดังกล่าวเข้ามาได้มีการปรับเปลี่ยนประสมประสานกับเรื่องพระอินทร์ตามคติทางพระพุทธศาสนา
การเล่นดึกดำบรรพ์เป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีอินทราภิเษก ซึ่งเป็นพระราชพิธีสำคัญและมิได้มีขึ้นในทุกรัชกาล ในพระราชพงศาวดารระบุว่ามีการเล่นดังกล่าวในสมัยกรุงศรีอยุธยา ๓ ครั้ง คือในแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานไว้ว่า “.....บางทีที่เกิดมี “กรมโขน” ขึ้นจะมาแต่การเล่นดึกดำบรรพ์ ในพระราชพิธีอินทราภิเษกนี้เอง โดยทำนองจะมีพระราชพิธีอื่น อันมีการเล่นแสดงตำนานเนือง ๆ จึงเป็นเหตุให้ฝึกหัดโขนหลวงนี้ขึ้นไว้สำหรับเล่นในการพระราชพิธี และเอามหาดเล็กหลวงมาหัดเป็นโขนตามแบบแผน ซึ่งมีอยู่ในตำราพระราชพิธีอินทราภิเษก เพราะเป็นลูกผู้ดีฉลาดเฉลียวฝึกหัดเข้าใจง่าย ใครได้เลือกก็ยินดีเสมอได้รับยกย่องอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นจึงได้เป็นประเพณีสืบมาจนชั้นกรุงรัตนโกสินทร์นี้ที่พวกโขนหลวงนับอยู่ในพวกผู้ดีที่เป็นมหาดเล็ก...ฯลฯ ....แต่ปรากฏในชั้นหลังมาว่ามีความนิยมเกิดขึ้นอีกอย่างหนึ่งว่า การฝึกหัดโขนนั้น ทำให้ชายหนุ่มที่ได้ฝึกหัดคล่องแคล่วว่องไวในกระบวนรบพุ่ง เป็นประโยชน์ไปจนถึงการต่อสู้ข้าศึก จึงพระราชทานอนุญาตให้เจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่ ตลอดจนผู้ว่าราชการเมืองหัดโขนไม่ห้ามปรามดังแต่แรก.....”
ผู้แสดงโขนแต่โบราณเป็นชายล้วนทั้งพระ นาง ยักษ์ ลิ ทุกคนต้องสวม “หน้าโขน” หรือ “หัวโขน” เป็นตัวแสดงต่าง ๆ ตามท้องเรื่องยกเว้นนางโขนซึ่งใช้ผู้ชายแสดง แต่เครื่องอย่างตัวนาง แต่ไม่สวมหน้า เรื่องราวที่แสดงเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า ผู้สวมบทต่าง ๆ จึงต้องแสดงด้วยความเคารพ ทำให้ทุกขั้นตอนของมหรสพชนิดนี้ประกอบด้วยขนบจารีตและพิธีกรรม จากหลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ชวนให้สันนิษฐานว่า “โขน” ของไทย น่าจะได้รับอิทธิพลจาก “ละโขน” และ “โขล” ของเขมรโบราณทั้งรูปแบบและเรื่องราวที่แสดง รวมทั้ง “หน้าโขน” ที่สวมใส่ในการแสดงด้วย
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ โปรดฯ ให้สร้างพระที่นั่งอินทราภิเษกมหาปราสาทขึ้น ต่อมาพระมหาปราสาทดังกล่าวถูกเพลิงไหม้ จึงโปรดฯ ให้สร้างพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทนี้มีพระฉากไม้เขียนลายรดน้ำ เรื่องพระราชพิธีอินทราภิเษกประดับอยู่ (ปัจจุบัน พระฉากนี้เก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม) กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ทรงสันนิษฐานว่า พระฉากนี้เดิมน่าจะอยู่ในพระที่นั่งอินทราภิเษกมหาปราสาท อาจเคลื่อนย้ายออกมาได้ทันคราวที่เพลิงไหม้ เรื่องพระราชพิธีอินทราภิเษกในพระฉากน่าจะโปรดฯ ให้เขียนขึ้นเพื่อเป็นแบบแผนของพระราชพิธี มีภาพการเล่นดึกดำบรรพ์ปรากฏภาพพาลี สุครีพ ท่าวมหาชมพูและวานรบริวารชักอยู่ที่ปลายหางด้วย ตรงกับที่ระบุในกฎมนเทียรบาล
ภาพศิลาจำหลักที่ระเบียงปราสาทนครวัดส่วนหนึ่งเป็นเรื่องรามเกียรติ์ มีภาพทศกัณฐ์จำหลัก หน้าทศกัณฐ์นั้นทำซ้อนกันเป็นชั้น ๆ คล้ายกับหน้าโขนของไทย ลักษณะดังกล่าวน่าจะแสดงว่าไทยได้รับอิทธิพลมาสร้างสรรค์ปรับปรุงหน้าโขนไทยจนมีเอกลักษณ์งดงามวิจิตร เนื่องจากเรื่องรามเกียรติ์เป็นเรื่องราวอันศักดิ์สิทธิ์ การจำลองเรื่องของพระผู้เป็นเจ้าจำหลักลงบนศิลาในสถานที่ซึ่งสร้างขึ้นถวายเป็นเทวบูชา เป็นคติที่มีมาในอารยธรรมโบราณนับพันปีแล้ว แต่การนำเรื่องราวของพระผู้เป็นเจ้ามาแสดงเป็นมหรสพ โดยเฉพาะเรื่องรามเกียรติ์น่าจะเกิดขึ้นในรูปของหนังก่อน เนื่องมาจากเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ในสมัยโบราณจึงไม่เก็บตัวหนังไว้ในบ้านเรือน แต่จะเก็บไว้ที่วังหรือวัดเท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น